รากฟันเทียมไม่เหมาะกับใคร?

1. หญิงตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์อยู่ควรทำหลังคลอดเท่านั้น
2. คนไข้ที่มีโรคประจำตัวแต่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งที่ต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสีบริเวณใบหน้าเเละช่องปาก โรคปริทันต์อักเสบรุนเเรง โรคลูคิเมีย โรคไฮเปอร์ไทรอยด์
3. คนไข้ที่มีอาการอื่น ๆ ที่การรักษาอาจจะไม่ได้ผลดี เช่น ผู้ป่วยที่ต้องรับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่สูบบุหรี่ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนเเรง
4. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหยุดไหลของเลือด

 

การทำรากฟันเทียมมีข้อดีอย่างไร?

1. ช่วยเติมเต็มฟันให้กลับมาสวยงามดังเดิม
2. ทำให้สามารถเคี้ยวอาหารได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. สีฟันมีความธรรมชาติช่วยให้มีความมั่นใจในการยิ้มแย้ม
4. ไม่มีปัญหาเรื่องการออกเสียง เหมือนการทำฟันปลอมโดยทั่วไป
5. ป้องกันการล้มของฟัน
6. ป้องกันปัญหากระดูกข้างเคียงเสียหาย
7. ดูแลรักษาความสะอาดง่ายเหมือนฟันปกติทั่วไป
8. หมดปัญหาฟันปลอมขยับระหว่างคุยด้วยการทำรากฟันเทียม
9. มีความคงทนอยู่ได้ยาวนาน
10. ไม่ต้องกรอแต่งฟันเคียงข้าง
11. มีความปลอดภัยสูง เเละสามารถใช้รักษาร่วมกับสะพานฟันเเละครอบฟัน สำหรับคนไข้ที่มีฟันแท้เหลือน้อย หรือผู้ที่ต้องการทำฟันปลอมได้อีกด้วย

 

การทำรากฟันเทียมเจ็บมากมั้ย?

ในการทำรากฟันเทียมจะมีการฉีดยาชาที่ช่วยในการลดอาการเจ็บของคนไข้จนไม่สามารถรู้สึกได้ในขณะที่มีการทำรากฟันเทียม เพราะ 90% ของการทำรากฟันเทียมจะทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ จึงช่วยให้คนไข้รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยขณะฉีดยาชา ส่วนอาการเจ็บปวดภายหลังการผ่าตัดจะปวดมาก ปวดน้อย จะเกิดขึ้นแตกต่างกันออกไปตามสุขภาพและเทคนิคที่หมอทำให้ เพราะด้วยความแตกต่างของลักษณะสันกระดูก ปริมาณของกระดูก และคุณภาพของเนื้อเยื่อเหงือกในบริเวณที่รับการรักษา
สำหรับคนไข้ที่มีปริมาณกระดูกที่เพียงพอ หรือกระดูกมีคุณภาพดีจะช่วยให้การฝังรากฟันเทียมทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะมีอาการเจ็บปวดใกล้เคียงกับอาการถอนฟัน และใช้เวลาพักฟื้นแผลเพียง 1-2 วันเท่านั้น
สำหรับกรณีที่คนไข้มีกระดูกรองรับรากเทียมไม่เพียงพอ หรือมีเนื้อเยื่อเหงือกที่คุณภาพไม่ดี ทันตแพทย์จะต้องทำตามขั้นตอนในการผ่าตัดเสริมกระดูก หรือเสริมเนื้อเยื่อเหงือก ซึ่งจะทำให้มีระยะการพักฟื้นที่นานกว่านั่นเอง

 

หากทำรากฟันเทียมใช้เวลาในการดูแลรักษาและพักฟื้นตัวนานมั้ย?

โดยทั่วไปคนไข้ที่ทำรากเทียมจะใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-2 วันเท่านั้น แต่หากถ้าคนไข้มีกระดูกรองรับรากเทียมไม่เพียงพอ หรือมีเนื้อเยื่อเหงือกที่คุณภาพไม่ดี ต้องมีขั้นตอนการผ่าตัดเสริมกระดูก หรือเสริมเนื้อเยื่อเหงือก จะทำให้มีการพักฟื้นที่ยาวนานกว่าทั่วไป

 

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปทำรากฟันเทียม?

1.ก่อนที่คุณจะทำรากฟันเทียม คุณควรนัดหมายพบทันตแพทย์เพื่อการประเมินและปรึกษาแผนรักษาที่เหมาะกับคุณ ทันตแพทย์จะตรวจสอบสุขภาพช่องปากของคุณและประเมินสภาพของรากฟันที่จะทำเทียม
2.ในกรณีที่คนไข้มีโรคประจำตัว มียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ มีประวัติการแพ้ยา ต้องแจ้งทันตแพทย์ก่อนทำการผ่าตัด
3.กรณีที่มีประวัติเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ หรือเปลี่ยนข้อเทียม อาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ก่อนการรักษาในบางกรณี จึงควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบล่วงหน้า
4.วางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ทั้งเรื่องชนิดของรากฟันเทียม หรือฟันเทียมที่เลือกใช้ในแผนการรักษา เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
5.แปรงฟันดูแลสุขภาพช่องปากก่อนมาพบทันตแพทย์ทุกครั้ง

 

หลังทำรากฟันเทียมควรดูแลตนเองอย่างไร?

  • รับประทานอาหารเหลวรสชาติไม่จัดมาก เพื่อลดการติดเศษอาหารในบริเวณแผล ในวันต่อมาให้รับประทานอาหารบดและไม่เคี้ยวมาก เช่น โจ๊ก
  • งดการกัดของแข็งหรือเหนียวในช่วง 1-2 เดือนแรก
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นจัดเกินไปหลังผ่าตัดประมาณ 1 อาทิตย์
  • รับประทานยาเมื่อมีอาการปวดได้ทุกเมื่อ เพราะการบวมสำหรับร่างกายถือเป็นเรื่องปกติ
  • งดสูบบุหรี่
  • สามารถแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ แต่งดแปรงในจุดที่มีแผลประมาณ 1-3 วัน
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • พบทันตแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามผลการทำรากฟันเทียม
  • หากเป็นบุคคลที่นอนกัดฟัน เคี้ยวฟันควรพบแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทันที

 

อาการหลังทำรากฟันเทียมมีอะไรบ้าง?

1.หลังทำรากฟันเทียมอาจมีอาการปวดบวมซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ 5-7 วัน ดังนั้นให้รับประทานยาตามที่ทันตแพทย์ให้อย่างเคร่งครัด
2.หากหลังผ่าตัด 1-2 วัน มีอาการบวมร้อน มีไข้ มีอาการชาบริเวณคาง ริมฝีปาก หรือลิ้น หรือมีอาการปวดบวมบ่อยเลือดออกบ่อยให้รีบพบแพทย์เพื่อรักษาโดยด่วน

Share it :

จองคิวพบคุณหมอ